ฝึกสมาธิในเรียนรู้ธรรมะไปกับแม่หมอ ...... วันนี้จะพาเพื่อนๆมารู้จักวิธีการฝึกสมาธิ โดยการใช้แสงสว่างตามแนวทางของ สัตยาไสบาบา ..... การฝึกสมาธิเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แล้วก็สามารถฝึกได้หลายแนวทาง แต่ละคนอาจใช้วิธีการที่แตกต่างกัน .... การฝึกสมาธิโดยการใช้แสงสว่างก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจทีเดียวละค่ะ เพื่อนๆลองอ่านดูนะคะ
การฝึกสมาธิ
สมาธิที่แท้จริงคือการที่จิตใจของเราอยู่กับพุทธะ หรือจิตที่บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา คือสภาวะที่จิตใจของเราผูกพัน นึกถึงแนบแน่นจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตที่บริสุทธิ์ สภาวะที่ว่านี้เราทุกคนสามารถฝึกฝนให้บรรลุได้ด้วยความเพียรพยายาม ในกรณีของการฝึกนั่งสมาธิ ท่านไสบาบาแนะนำว่า
๑. เราควรฝึกในตอนเช้า เวลาระหว่าง ๐๓.๐๐ – ๐๖.๐๐ นาฬิกา จะเป็นเวลาที่ดีที่สุด
๒. ไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำก่อน แต่ถ้าง่วงมาก ก็ให้ไปอาบน้ำเย็นให้หายง่วง
๓. ควรนั่งในท่าที่สบายและให้แผ่นหลังตรงและนั่งบนผืนผ้ารองระหว่างพื้นกับตัวเรา เพราะขณะที่ฝึกปฏิบัติจะมีพลังงานที่สำคัญไหลผ่านตัวเรา การที่ต้องนั่งหลังตรง ก็เพื่อให้พลังงานถ่ายเทขึ้นลงโดยสะดวก และการที่ต้องนั่งบนผ้ากั้นตัวเรากับพื้น ก็เพื่อให้ผ้าทำหน้าที่เป็นฉนวนมิให้พลังงานไหลลงสู่ดินไปหมด
ตอนนี้ขอให้เตรียมเทียนไขหรือตะเกียงแล้วจุดไฟให้เทียนหรือตะเกียงสว่าง
ก่อนที่จะเริ่มต้นนั่งสมาธิต่อไป ท่านไสบาบาแนะนำให้เราภาวนาหรือสวดมนต์สักเล็กน้อยด้วยบทสวดอะไรก็ได้ที่จะทำให้จิตใจสงบ จากนั้นให้เฝ้าดูลมหายใจเข้าออกของเราแล้วภาวนา ถ้าเป็นชาวพุทธอาจภาวนาคำว่า “พุทโธ” หายใจเข้า “พุท” หายใจออก “โธ” เราอาจภาวนาคำว่า “โซ-ฮัม” ซึ่งแปลว่า เราคือจิตที่บริสุทธิ์ โดยหายใจเข้า “โซ” หายใจออก “ฮัม” ภาวนาเช่นนี้ ประมาณ ๒-๓ นาที
เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว ให้จ้องแสงเทียนหรือตะเกียงสักครู่หนึ่ง จนหลับตาก็สามารถนึกภาพแสงเทียนนี้ได้ ท่านไสบาบาแนะนำให้ใช้แสงเทียนจะดีกว่าการจินตนาการถึงแสงสว่างที่ไร้รูปร่างท่านสอนว่า จะเป็นการยากกว่ามากที่จะนึกถึงแสงสว่างที่ไร้รูป การนึกถึงแสงสว่างที่มีรูปร่างจะง่ายกว่า
ต่อไปนี้จะเป็นขั้นตอนการฝึก หลังจากที่เราหลับตานำภาพแสงเทียนเข้ามาในศรีษะของเราโดยผ่านเข้ามาที่หน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง
๑.เมื่อแสงสว่างอยู่ในศรีษะของเราให้บอกกับตนเองในใจว่า เราจะคิดแต่สิ่งที่ดี
๒.นำแสงสว่างเคลื่อนลงมาจากศีรษะมาที่บริเวณหัวใจของเรา และให้จินตนาการว่าตรงบริเวณหัวใจของเรามีดอกบัว เมื่อดอกบัวได้รับแสงสว่างดอกบัวก็บานออกมาสวยงาม แสงสว่างชำระล้างความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราไม่มีความมืดอีกต่อไป มีแต่ความสะอาดและสว่าง
๓.นำแสงสว่างจากหัวใจไปที่แขนและมือทั้ง ๒ ข้าง ให้มือทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะใช้มือทั้ง ๒ ข้างในการทำแต่สิ่งที่ดี เราจะรับใช้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เสมอ
๔.นำแสงสว่างไปที่ขาและเท้าทั้ง ๒ ข้างให้เท้าทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะเดินก้าวหน้าไปในทางที่ดี ไปสถานที่ที่ดี และไปพบคนดี
๕.นำแสงสว่างกลับขึ้นมาที่ปากและลิ้นของเรา ให้ปากและลิ้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะพูดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่ความจริง และพูดเท่าที่จำเป็น
๖.นำแสงสว่างไปที่หูทั้ง ๒ ข้าง ให้หูทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะฟังแต่สิ่งที่ดี
๗.นำแสงสว่างไปที่ตาทั้ง ๒ ข้าง ให้ตาทั้ง ๒ ข้างเต็มไปด้วยแสงสว่าง บอกกับตนเองในใจว่า เราจะมองแต่สิ่งที่ดี เราจะเห็นแต่สิ่งที่ดีในทุกสิ่ง
๘.นำแสงสว่างกลับมาที่ศีรษะอีกครั้งหนึ่ง ให้นึกว่าศีรษะของเราเต็มไปด้วยแสงสว่างมากขึ้น เจิดจ้าขึ้น
ในตอนนี้ เราจะกระจายแสงสว่างไปให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ครู อาจารย์ เพื่อน แม้กระทั่งศัตรูของเรา ....... ให้สิ่งมีชีวิตทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ให้ทั้งโลกเต็มไปด้วยแสงสว่าง ขอให้เห็นแสงสว่างว่าครอบคลุมทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิตให้ทุกชีวิตเต็มไปด้วยแสงสว่าง ขอให้เห็นว่าแสงสว่างที่อยู่ในตัวเราก็อยู่ในตัวทุกคนด้วย เป็นแสงสว่างเดียวกัน บอกกับตนเองว่า เราอยู่ในแสงสว่าง แสงสว่างอยู่ในตัวเรา เราคือแสงสว่าง
ถึงตอนนี้เราจะจบการนั่งสมาธิโดยการแผ่เมตตา............ จากนั้นก็เก็บความรู้สึกที่สะอาด สว่าง ของแสงสว่างในหัวใจไว้กับตัวเราตลอดวัน หรืออาจนึกถึงรูปหรือนามของพระเจ้าที่เราบูชา ให้ปรากฏอยู่ในแสงสว่างในหัวใจของเรา แล้วเก็บภาพและความรู้สึกนี้ไว้กับเราตลอดวัน ตลอดเวลา ......... ลำดับของแสงสว่างตั้งแต่ที่หัวใจไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่ขอให้จุดสุดท้ายนั้น เป็นแสงสว่างที่ศีรษะของเราอีกครั้งหนึ่ง ....... ถ้าเราฝึกเช่นนี้ทุกวันอย่างจริงจังและเป็นระบบแล้ว วันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราไม่สามารถมองไม่ดี ฟังไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีได้เลย เพราะเราได้ปลูกฝังแสงสว่าง ซึ่งเป็นตัวชำระล้างส่วนต่าง ๆ ของเรา จนกระทั่งเราไม่สามารถทำในสิ่งไม่ดีได้
การนึกถึงแสงสว่าง และนำแสงสว่างไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการฝึกสมาธิ ...... เพราะสมาธิที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือการคิด ถ้าเรายังคิดอยู่ก็ไม่ใช่สมาธิที่แท้จริง แต่การนำแสงสว่างไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นอุบายที่ให้จิตใจคิดไปในทางที่ถูกต้องก่อนจนกระทั่งจิตใจสงบขึ้นและตอนที่กระจายแสงสว่างออกไปจากตัวเรา ตอนนั้นเองที่เรามักจะลืมร่างกายของตนเอง และจมลึกไปอยู่กับแสงสว่างที่กระจายและปรากฏอยู่ในตัวทุกชีวิต ตอนนั้นเราจะเริ่มดิ่งลงสู่สมาธิที่แท้จริงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราลืมร่างกายของเราโดยสิ้นเชิง และตระหนักถึงแต่แสงสว่างเท่านั้น สภาวะนั้นเป็นสภาวะของความปีติ มีแต่แสงสว่าง และปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองโดยปราศจากการคิด เป็นสภาวะที่ไม่สามารถบังคับให้เกิดขึ้นตามใจเองได้
ขอขอบคุณ http://www.oknation.net/
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น