นักบวชสิทธัตถะ เมื่ออยู่คนเดียวหลังจากนายฉันนะทูลลาไปแล้ว เริ่มรู้สึกเงียบเหงา...... แต่สุดท้ายก็ทรงคิดได้ว่า ธรรมดาของชีวิตย่อมมีการพรัดพรากจากกันเป็นธรรมดา จึงได้ออกเสด็จจากแม่น้ำอโนมานที ไปยังเบื้องหน้าที่เรียกว่าอนุปิยนิคม แคว้นมัลละ ..... แม้พระองค์จะไม่ได้เสวยอะไรตลอด7วันก็ไม่ทรงหิวหรืออ่อนเพลีย เพราะทรงเอิบอิ่มจากปีติอันเกิดจากการบวช .....
ห่างจากแคว้นมัลละลงไปทางใต้ มีแคว้นมคธตั้งอยู่ซึ่งเป็นแคว้นมหาอำนาจ ทั้งการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และเป็นดินแดนทางศาสนามีเจ้าลัทธิอยู่มากมาย ....... นักบวชสิทธัตถะได้ยินข่าวของแคว้นนี้จึงเดินทางเสด็จไปด้วยหมายว่าจะพบพระอาจารย์ที่สอนทางหลุดพ้นให้ได้ ...... ระหว่างทางที่เสด็จผ่าน มหาชนทั้งหลายที่ได้พบต่างก็พากันโจทษฺจันถึงความงามสง่าและคิดกันว่าใช่เจ้านายแห่งราชวงศ์ศากยะหรือไม่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงตอบไปตามจริง ..... และเสด็จต่อไปพักผ่อนอริยบทยังปัณฑวบรรพตเขตปัญจคีรีนคร
นักบวชสิทธัตถะได้เสด็จผ่านบ้านมาสู่บ้านเพื่อรับทานในฐานะเป็นผู้ขอ พระกระยาหารที่ได้รับมานั้น เคล้าคละปนจนดูเป็นของน่าเกลียด แต่พระองค์ได้เตือนตนองว่า พระองค์มิใช่กษัตริย์หากแต่เป็นนักบวชอยู่ได้ด้วยการอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพจึงไม่มีสิทธิ์เลือก และอาหารมื้อนั้นก็เป็นมื้อแรกของพระองค์นับแต่วันออกบวช ..... แล้วพระองค์ก็เสด็จดำเนินต่อไปจนเข้าเขตใกล้พระราชฐานแห่งแคว้นมคธ
พระเจ้าพิมพิสารผู้ครองแคว้นมคธเมื่อทราบข่าวของนักบวชสิทธัตถะ จึงสั่งให้ข้าราชบริพารจัดขบวนและเสด็จไปพบ .... เมื่อได้ทรงทอดพระเนตรเห็นก็เกิดความเลื่อมใสในความงามสง่าของพระองค์ ซึ่งทรงคิดไปว่านักบวชสิทธัตถะออกบวชด้วยเหตุที่ขัดแย้งกับพระประยูรญาติ จึงทรงแสดงความหวังดีด้วยการชวนให้สึกออกมาครองราชสมบัติอยู่ด้วยกัน และพระองค์ยินดีที่จะแบ่งสมบัติให้ปกครอง ......
เบื้องแรกนักบวชสิทธัตถะได้กล่าวขอบพระทัยในความเป็นสหาย และในความมีพระทัยอันกว่างขวางของพระเจ้าพิมพิสาร โดยกล่าวว่า ...... " มหาบพิตร บุคคลผู้ใดยังยกย่องให้ความรักใคร่แก่สหาย ผู้ปราศจากทรัพย์สมบัติ เกียรติยศและฐานะ เป็นบุคคลหาได้ยากยิ่ง สหายผู้ใดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์มากใช้จ่ายทรัพย์ของตนให้หมดเปลืองเพื่อเห็นแก่การงานของสหาย ทรัพย์สมบัติของสหายผู้นั้นมีค่า ไม่นำความเดือดร้อนมาให้แก่ผุ้เป็นเจ้าของ" ....... และชี้แจงต่อไปว่าพระองค์เองออกบวชเพื่อปราถนาจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก โดยรับสั่งว่า "ไม่มีอันตรายใดในโลกที่จะร้ายแรงเท่ากับความแรงร้ายอันเกิดจากการเสวยสุข ผู้หลงเข้าติดอยุ่ในความสุขจะไม่ได้พบกับความจริงอันใด ไม่ว่าจะเป็นความจริงจากธรรมชาติหรือความจริงของชีวิต ผู้ฉลาดย่อมไม่พะวงกับสิ่งเหล่านี้เลย "
พระเจ้าพิมพิสารทรงพอพระทัยกับรับสั่งของนักบวชสิทธัตถะ และมีพระทัยโน้มเอียงเข้าหาธรรมโดยลำดับ มีรับสั่งว่าพระทัยของสิทธัตถะนั้นสะอาดผ่องใสปราศจากราคี ไม่มีเครื่องเศร้าหมองอันใดเสียแล้ว คงจะดำเนินชีวิตไปได้โดยไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น.......... ถ้านักบวชสิทธัตถะทรงแสวงหาแล้วพบธรรมวิเศษเพื่อยังความสุขให้สมปราถนาแล้ว ขอให้เสด็จกลับมายังแคว้นมคธเพื่อประทานธรรมะแก่พระองค์ด้วย ........... นักบวชสิทธัตถะทรงรับคำสัญญาแก่พระเจ้าพิมพิสารว่าจะเสด็จกลับมาเมื่อทรงค้นพบธรรมอันวิเศษนั้น .... พระเจ้าพิมพิสารจึงลากลับไป.......
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
วันพุธ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น