ครั้งนั้นในแคว้นมคธ มีดาบสที่มีชื่อเสียงอยู่2องค์คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส..... ซึ่งอาฬารดาบสได้บรรลุสมาบัติ7 อันได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจยตนฌาน..... และอุทกดาบสได้บรรลุสมาฌาน8 โดยได้บรรลุเนวสัญญายตนฌานเพิ่มมาอีก1ข้อ .... สิทธัตถะปรืพาชกได้เข้าไปศึกษากับท่านอาฬารดาบสก่อนจนจบลัทธิ และพระองค์ยังไม่พอใจ จึงเสด็จไปศึกษาต่อกับท่านอุทกดาบส จนจบลัทธิมีความรู้เสมอด้วยอาจารย์.... ซึ่งท่านอาจารย์ทั้งสองก้ได้ชักชวนให้อยู่ช่วยกันสั่งสอนศิษย์ต่อไป .....
แต่สิทธัตถะปริพาชกกลับเห็นว่าการเรียนรู้ในแนวทาง ปรัขญาสางขยะและสมาธิมรรค เป็นผลให้สมาธิแน่วแน่ได้จริง แต่ยังคงเป็นสมาธิขั้นต่ำ ฌานที่ปรากฏเป็นทางโลกีย์ ยังไม่สามารถละมูลแห่งกิเลส เครื่องเศร้าหมองทางใจได้.... จึงได้ลาพระอาจารย์ทั้งสองและเสด็จออกเดินทาง เพือทดลองบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีอื่นต่อไป .....
การบำเพ็ญเพียรทางร่างกายหรือการบำเพ็ญตบะ ด้วยวิธีการทรมานร่างกายวิธีต่างๆ มีคณาจารย์ตั้งสำนักสั่งสอนศิษย์แพร่หลายอยู่มากในสมัยนั้น .... สิทธัตถะปริพาชกได้เดินทางมาถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคมที่มีภูมิภาคร่มรื่น แนวป่าเขียวชะอุ่มสวยงาม มีแม่น้ำใสไหลผ่าน และมีหมู่บ้านคนไม่ใกล้ไม่ไกลนักพอให้เที่ยวภิกขจารได้ซึ่งจะดีสำหรับนักบวชที่ต้องการมาบำเพ็ญเพียร .... พระองค์จึงตัดสินในประทับณ.ที่แห่งนี้ และเมื่อได้เวลาภิกขจาร พระองค์ก็เข้าไปบิณฑบาตรให้ได้พระกระยาหารมาพอประทังชีวิตไม่ให้หิว ....
ทางเมืองกบิลพัสดุ์ พราหมณ์โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ เมื่อได้ทราบข่าวว่าพระสิทธัตถะได้เสด็จออกบวข ได้รวมกันเป็นปัญจวัคคีย์ บวชเป็นฤาษีและออกตามหาพระสิทธัตถะจนพบที่ตำบลอุรุเวลาเสานิคมนี่เอง.....ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 จึงอาสาเฝ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วยมั่นใจว่าพระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างแน่นอน ....
ในครั้งนั้น การบำเพ็ญเพียรแบบ อัตตกิลมถานุโยค หรือการทรมานตัวเองให้ลำบาก กำลังเป็นที่นิยมซึ่งมีทั้งหมด7แบบ ........ แบบบำเพ็ญตบะ พระสิทธัตถะได้เปลือยกาย ใช้มือเช็ดเวลาถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ...... แบบทำตัวให้สกปรก ทรงใช้ขี้ฝุ่นทาตัวถึงขนาดตกสะเก็ด ....... แบบรังเกียจ ทรงมีสติขณะเดินระวังไม่ให้เหยียบย่ำสัตว์เล็กสัตว์น้อยม้ในหยาดน้ำ ...... แบบอยุ่คนเดียว ไม่ทรงยอมให้ใครพบเห็น เมื่อใครเข้ามาใกล้ก็จะรีบลัดเลาะหนีไป ....... แบบกินอาหารชนิดแปลกๆ ทรงกินอุจจาระของตนเองและลูกโค ...... แบบอยู่อย่างวางเฉย ทรงทนได้ไม่โกรธเวลาเด็กเลี้ยงวัวเข้ามาแกล้ง หรือสาดโคลนใส่ ........ แบบลดอาหาร ทรงฉันผลกะเบาวันละเพียงผลเดียว....
ปรากฏว่าการบำเพ็ญเพียรครั้งนั้นส่งผลให้พระองค์มีพระวรกายซูบผอมน่าเกลียด ตาลึก มีเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่งไปทั้งตัว ....... แต่ก็ทรงบำเพ็ญเพียรให้ยากขึ้นไปอีโดยไม่ลดละความพยายาม เช่นทรงกัดฟันแน่นเอาลิ้นอัดเพดานจนร้อนจัด กลั้นลมหายใจไม่ให้เข้าออก จนลมออกหู และลมวิ่งขึ้นเสียดแทงบนพระเศียร...... ซึ่งสิทธัตถะปริพาชกทรงได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จนแทบเอาชีวิตไม่รอด ถึงกระนั้นก็ยังไม่บรรลุโมกธรรมอย่างที่หวัง.....
ที่สุดพระองค์ทรงเห็นว่า หากขืนปล่อยให่ร่างกายผ่ายผอมและรับทุกข์ทรมานไปเยี่ยงนี้ ร่างกายคงต้องสิ้นลมไปสักวันโดยปราศจากผลแห่งการอุตส่าห์พยายาม มาตั้งแต่ออกจากกรุงกบิลพัสด์มาป็นเวลาย่างเข้าปีที่6....... สุดท้ายทรงมีพระสติคิดได้ว่า เมื่อร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ต้องทนทุกขเวทนาเยี่ยงนี้ ใจจะเป็นสุขสงบควรแก่การตั้งสมาธิให้บรรลุธรรมได้อย่างไร เห็นทีการบำเพ็ญทุกรกริยาจะไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่การเห็นธรรมและตัดทุกข์แห่งชีวิตได้ ..... จึงตกลงพระทัยเลิกวิธีนี้เสีย ....
ด้วยเหตุบังเอิญ ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม มีนายบ้านนายหนึ่งนามว่าเสนานี มีธิดาชื่อนางสุชาดา วันนั้นนางต้องการออกไปบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขาเหมือนเช่นเคย เพื่อขออำนาจเทวาประทานพรให้แก่ตน....... โดยนางให้นางทาสีชื่อปุณณา ออกไปเตรียมจัดสถานที่ให้พร้อม นางทาสีไปพบพระสิทธัตถะใต้ต้นมหาโพธิพฤกษ์ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา จึงเข้าใจว่าเป็นรุกขเทวดาและได้นำความมาแจ้งให้นายหญิงของตนทราบ..... นางสุชาดาจึงได้ทำอาหาร ข้าวมธุปายาส และเครื่องสังเวยอันปราณีตออกไปน้อมถวายพร้อมด้วยภาชนะที่ทำด้วยทองคำแล้วก็ได้หลีกกลับไป....
ฝ่ายปัญจวัคคีย์ที่ได้บำเพ็ญเพียรมาด้วยกันเห็นพระสิทธัตถะกลับมาเสวยอาหาร ก็พากันไม่พอใจและหมดศรัทธา กล่าวประนามว่าพระองค์ว่ามีใจไม่คงที่กลับไปกลับมา เป็นผู้มักมากในอาหาร จึงไม่ยอมคบหาและพากันหลีกหนีออกไปจากตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตั้งแต่บัดนั้น ไปอยู่ยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตเมืองพาราณาสีในกาลต่อมา .....
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
วันอาทิตย์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น