เรียนรู้ธรรมะไปกับแม่หมอ ในหัวข้อ ธรรมะน่ารู้ วันนี้แม่หมอจะพาเพื่อนๆมารู้จักกับคำว่า อกุศลมูล ........ อกุศลมูล คือ รากเหง้าของความชั่ว รางเหง้าหรือต้นตอของความชั่วทั้งปวง เมื่อความชั่วเกิดขึ้นในตัวเรา และเมื่อกำเริบขึ้นมาก็จะแสดง ออกมาเป็นสิ่งที่ทุจริตทางกาย วาจา ใจ รวมเป็นเหตุให้เกิดกิเลส มี 3 ประการ คือ ...... 1. โลภะหรือความอยากได้ ...... 2. โทสะ หรือ ความคิดประทุษร้ายคนอื่น ........ 3. โมหะหรือ ความหลงไม่รู้จริง ซึ่งสามารถขยายความได้ดังนี้ค่ะ
1. โลภะ ความอยากได้....... โลภะ คือ ความอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน อยากให้ตนมีเหมือนคนอื่น หรือมีมากกว่าผู้อื่น ความอยากมีหลายรูป แบบซึ่งจะก่อให้เกิดรากเหง้าของความชั่วทั้งปวง เช่น อิจฉา ความอยาก ปาปิจฉา- ความอยากอย่างชั่วช้า มหิจฉา- ความอยากรุนแรง อภิชฌาวิสมโลภะ -
ความอยากได้ถึงขั้นเพ่งเล็ง ความอยากที่เกิดมากขึ้น จะก่อให้เกิดความชั่วในตัวเองตามมา....... วิธีแก้ไขความอยากคือการใช้สติ ระลึกรู้ในตน
2. โทสะ ความคิดประทุษร้าย ...... โทสะ คือ ความคิดประทุษร้าย ได้แก่ การอยากฆ่า การอยากทำลายผู้อื่นๆ ความคิดประทุษร้ายเป็นรากเหง้าให้เกิดกิเลสได้หลายอย่าง เช่น ปฏิฆะ -ความหงุดหงิด โกธะ- ความโกรธ อุปนาหะ - ความผูกโกรธ พยาบาท ความคิดปองร้าย ถ้าปล่อยให้มีโทสะมาก ผู้นั้นจะเป็นคนชั่ว คนพาล และเป็นภัยต่อสังคม ....... วิธีแก้ไขโทสะ คือการใช้สติระงับตน และฝึกตนให้เป็นผู้มีอโทสะ
3. โมหะ ความหลงไม่รู้จริง......... โมหะ คือ ความหลงไม่รู้จริง ได้แก่ ความไม่รู้ไม่เข้าใจ ความมัวเมา ความประมาท เป้นรากเหว้าให้เกิดกิเลสได้ต่างๆมากมาย เช่น มักขะ- การลบหลู่คุณท่าน ปลาสะ - ตีเสมอ มานะ ถือตัว มทะ- มัวเมา ปมาทะ- เลินเล่อ โมหะทำให้ขาดสติ ไม่รู้ผิดชอบร้ายแรงกว่าโลภะ และโทสะ รวมทั้งส่งเสริมให้โลภะและโทสะมีกำลังมากขึ้นยิ่งด้วย .......วิธีที่จะทำให้โมหะลดลงนั้นจะต้องปฏิบัติตนเป็นผู้ที่มี อโมหะ ความไม่หลงงมงาย
เมื่อเรารู้ว่าอกุศลมูล3 หรือต้อนตอของความชั่วทั้งปวงมีอะไรบ้างแล้ว เราลองมาดู กุศลมูล3 กันบ้างนะคะ ........ กุศลมูล 3 หมายถึง รากเหง้าหรือต้นตอของความดีทั้งปวง ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ตรงกันข้ามกับ อกุศลมูล มี 3 ประการดังนี้
1. อโลภะ ความไม่อยากได้ ......อโลภะ คือ ความเป็นผู้ไม่มีความทะยานอยาก เป็นผู้ที่มีสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดๆ มีแต่ความยินดีและพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่เท่านั้น .......การปฏิบัติตนเป็นผู้มีอโลภะนั้น จะต้องปฏิบัติธรรมที่ตรงกันข้ามกับโลภะ เช่น สันโดษ - ความพอใจ ทาน- การบริจาค จาคะ- การเสียสละ อนภิชฌา -ความไม่โลภไม่อยากได้ของผู้อื่น เป็นต้น
2. อโทสะ ความไม่คิดประทุษร้าย....... อโทสะ คือ การไม่คิดประทุษร้าย ไม่โกรธ ไม่ผูกพยาบาท จะทำอะไรก็มีสติรู้สึกตัวอยู่เสมอใช้ปัญญาในการประกอบการตัดสินใจต่างๆ ...... การปฏิบัติตนเป็นผู้มีอโทสะนั้น จะต้องปฏิบัติธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ เช่น เมตตา - ความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณา- ความ
สงสาร อโกธะ- ความไม่โกรธ อพยาบาท -ความไม่ปองร้ายผู้อื่น อวิหิงสา -ความไม่เบียดเบียน ตีติกขาขันติ- ความอดทนต่อความเจ็บใจ เป็นต้น
3. อโมหะ ความไม่หลง ..... อโมหะ คือ ความไม่หลงงมงาย ไม่ประมาทอันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง ให้เป็นผู้มีสติปัญญามั่นคงใช้ปัญญา พิจารณาไตร่ตรองโดยยึดหลักเหตุผล เมื่อมีอโมหะเกิดขึ้นกับตัวแล้ว โลภะ โทสะ และโมหะ ก็มิอาจเกิดขึ้นได้ ..... การปฏิบัติตนเป็นผู้มีอโมหะนั้น จะต้องปฏิบัติ ธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ เช่น พาหุสัจจะ- ความเป็นผู้ศึกษารับฟังมาก วิมังสา- หมั่นตรึกตรองพิจารณา สัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ โยนิโสมนสิการ- การรู้จักตรึกตรองให้รู้จักดีชั่ว ปัญญา รอบรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ เป็นต้น
เพื่อนๆก็รู้จักทั้ง อกุศลมูล3 และกุศลมูล3 แล้วนะคะ .... ชีวิตเราแม้จะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราก็เลือกทำความดีได้ ในเมื่อเรารู้ต้นตอของทั้งความชั่ว และต้นตอของความดี ถ้าเพียงแต่เราเลี่ยงที่จะทำสิ่งที่เป็นอกุศลซะ และพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศล ชีวิตเราก็จะพบแต่ความสุขและความสบายใจ เชือ้หรือไม่เชื่อก็ต้องลองดูหละค่ะ
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
เจ๋งดีนะ
ตอบลบ