หลังจากที่นักบวชสิทธัตถะได้เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยาและเริ่มเสวยอาหารทีละน้อยและมากขึ้นตามลำดับจนพระวรกายเข้าสู่ภาวะปกติ ....... คืนหนึ่งพระองค์ทรงพระสุบินไปว่าพระองค์ทรงยกพระบาทข้ามพ้นมหาสมุทรทั้ง4อันมีอยู่ในจักรวาล และเสด็จขึ้นภูผาบรรพตอันสูงสุดกว่าภูผาใดในโลก และมีนิมิตว่า จักรวาลนี้อยู่ใต้รอบพระพาหาของพระองค์ ....... เมื่อตื่นบรรทมได้ทรงเสด็จออกจากที่ประทับตรงไปยังฝั่งส่วนหนึ่งของแม่น้ำเนรัญชรา ได้นำภาชนะทองคำที่นางสุชาดาที่ใส่กระยาหารเครื่องสังเวยรุกขเทวดาที่นำมาถวาย และทรงอธิษฐานว่าหากนิมิตนั้นมิได้เป็นไปเพื่อการพบธรรม ขอให้ภาชนะนั้นลอยไปตามกระแสน้ำ แต่หากนิมิตปรากฏขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการตรัสรู้ธรรมที่ทรงปราถนา ขอให้ภาชนะลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ทันทีที่เปล่งพระวาจาจบ ภาชนะก็ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ......
จากนั้นพระองค์ก็ได้เลือกประทับใต้ต้นโพธิ์ และหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ได้มีพราหมณ์นามโสตถิยะมาถวายหญ้าคาให้เป็นที่ประทับ ...... พระองค์ทรงตั้งพระทัยอธิษฐานว่า แม้เนื้อและเลือดในร่างกายจักเหือดแห้งไป จนเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที หากยังไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะพึงได้ด้วยกำลังของบุรุษแล้วไซร้ เราจะไม่ยอมเลิกละความเพียรของลูกผู้ชายนั้นเด็ดขาด ........ จากนั้นก็ทรงตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก บำเพ็ญ อานาปานสติ .... ซึ่งกำหนดได้4สัปดาห์จนกระทั่งถึงขั้นที่เรียกว่า ตรัสรู้อริยสัจธรรมดังต่อไปนี้
ขั้น1 สัปดาห์แรก ทรงพิจรณาถึงเหตุและผลแห่งความเกิด ความชรา ความตาย ความตั้งต้น และความเสื่อมสลายแห่งธรรมชาติ และชีวิตอันเป็นสันตติสืบต่อกันมาอย่างไร จากอะไร
ขั้น2 สัปดาห์ที่2 ทรงวางพระทัยสู่สมาธิมรรคให้จิตเป็นเอกัคคตา ไม่หวั่นไหวไปด้วยอารมณ์ใด
ขั้น3 สัปดาห์ที่3 ทรงได้รับผลแห่งความผ่องใสแห่งดวงจิตและผ่องใสอยู่อย่างนั้น เหมือนน้ำที่ปราศจากลมที่จะทำให้กระเพื่อมได้
ขั้น4 สัปดาห์ที่4 เป็นขั้นสุดท้าย ดวงจิตได้รับความสว่าง ความสงบ และจากนั้นความเต็มเปี่ยมแห่งปิติก็เกิดจากความสงบและความสว่าง มีความสะอาดปราศจากราคี ความเป็นหนึ่งแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนทรงได้รับดวงตาเห็นธรรม เห็นชีวิต เห็นเหตุเห็นผลแห่งความเป็นไปในชีวิต เห็นอดีตเห็นปัจจุบัน และทรงล่วงรู้ถึงอนาคต สุดท้ายก็ละวิจิกิจฉา คือความไม่แน่พระทัยตามความเป็นไปในชีวิตของพระองค์เอง และชิวิตของคนทั้งหลายเสียได้สิ้นจนใกล้สละเสียซึ่งสังโยชน์อันเป็นเครื่องผูกพันทั้งปวง
และวันสุดท้ายแห่งการถึงพุทธภาวะ คือคืนวันเพ็ญขึ้น15ค่ำเดือน6 ............ตกเวลาปฐมยาม พระองค์ทรงระลึกชาติแต่หนหลังได้หลายแสนหลายล้านชาติว่าแต่ละชาติมีชื่ออะไรเป็นอยู่อย่างไร ตายเมื่อไร จนแน่พระทัยว่าพระองค์ทรงเวียนว่ายตายเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ...... ต่อมาในเวลามัชฌิมยาม ทรงรู้แจ้งด้วยตาทิพย์ว่าสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ก็เหมือนพระองค์ว่าเวียนว่ายตายเกิดมานานแสนนาน จนแน่พระทัยว่าสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นเช่นนั้น ........ สุดท้ายตกเวลาปัจฉิมยาม พระองค์ก็ทรงรู้แจ้งว่าที่พระองค์ก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดีที่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเพราะเนื่องมาจากกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงทรงดับเสียด้วยมรรคญานและผลญาน แล้วพร้อมกับดับกิเลสได้สิ้น ..........
และนับแต่เวลานั้น พระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ตรัสรู้ได้ถูกต้องด้วยพระองค์เอง ........... โดยความจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้ก็คือ 1. โลกนี้ ชีวิตนี้ ประกอบด้วยทุกข์ .... 2. ความทุกข์นั้นมีเหตุให้เกิด และเป็นผลคือความทุกข์ .......... 3. มีทางที่ตัดความทุกข์นั้นให้ขาดไปได้ เมื่อตัดเหตุแห่งการเกิดทุกข์ให้ขาดออกไป ....4. ทรงพบว่ามีทางใดบ้างที่จะดำเนินไปสู่การตัดเหตุแห่งทุกข์นั้น จนถึงซึ่งความสุขอันสะอาดในที่สุด ........... หรือก็คือการที่พระองค์ทรงรู้ความจริงอันประเสริฐ4อย่าง คือ รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค รวมเรียกว่า อริยสัจ4 นั่นเอง .....
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
วันพุธ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น