หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้เผยแผ่พระธรมที่ทรงตรัสรู้ไปได้ตามควร.... พระสงฆ์สาวกผู้ล้วนเป็นพระอรหันต์กว่า 1000รูปก็ได้ออกไปประกาศพระศาสนาตามเมืองต่างๆ เพื่อความสุขของมหาชน ..... สิทธัตะพุทธะจึงได้กลับมานึกถึงปฏิญญาใหญ่สมัยหนึ่งเมื่อพระองค์ได้มาพักที่กรุงราชคฤห์พระเจ้าพิมพิสารมาเฝ้าและขอปฏิญญาว่า หากได้ตรัสรู้ธรรมพิเศษให้เสด็จไปบอกธรรมอันควรนั้น ..... มาถึงกาลนี้ธรรมพิเศษนั้นพระองค์ก็ได้บรรลุแล้ว จึงตัดสินใจแยกทางจากสาวกเสด็จเข้ากรุงราชคฤห์ เพื่อพบพระเจ้าพิมพิสาร .....
ในสมัยนั้น กรุงราชคฤห์มีคณาจารย์ใหญ่ที่ถือเพศปริพาชกชื่อว่า สญชัย...... มีศิษย์เป็นกุลบุตรในตระกูลพราหมณ์และเศรษฐีมีทรัพย์จำนวนถึง250คน ในบรรดาศิษย์ทั้งหมดมีศิษย์ผู้ใหญ่ในเชิงปัญญาสามารถอยู่2คน คนหนึ่งชื่ออุปติสสะ เรียกตามนัยแห่งศาสนาว่า สารีบุตร อีกคนหนึ่งชื่อ โกลิตะ เรียกตามนัยแห่งศาสนาว่า โมคคัลานะ ทั้งสองเป็นมิตรสหายของกันและกัน มีความปราถนาร่วมกัะน ออกบำเพ็ญเป็นปริพาชกแสวงธรรม โดยหากผู้ใดได้บรรลุธรรมพิเศษก็จะแจ้งแก่อีกผู้หนึ่ง แต่ทั้งสองก็ได้พร่ำพรรณนาอยู่เป้นนิจว่า ยังมิได้พบธรรมวิเศษอันใดเป๋นที่พอใจเลย
กล่าวถึงศิษย์สาวกของสิทธัตถะพุทธะ พระอัสสชิเถระ หนึ่งในปัจจวัคคีย์ ซึ่งเป็นศิษย์ชุดแรก ก็ได้จาริกโปรดมหาชนอยู่แถวกรุงราชคฤห์ ...... เช้านั้นท่านได้ออกบิณฑบาตรตามเคย ผ่านมาแถวอาศรมของปริพาชกสญชัย อุปติสสะศิษย์ผู้ใหญ่ได้ออกมาหน้าอาศรมเห็นท่านอัสสชิออกบิณฑบาตร อากัปกริยาน่าเลื่อมใส อริยาบทเรียบร้อย ทอดจักษุแต่พอประมาณ ไม่มองไกล ไม่เลินเล่อ ลุกลนเหมือนนักบวชอื่น.... อุปติสสะจึงเข้าไปใกล้นมัสการและปราศรัยด้วยความเคารพ ถามว่า "ใครเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านปฏิบัติอยู่โดยธรรมของศาสดาใด" ..... ท่านอัสสชิจึงตอบว่า" เจ้าชายสิทธัตถะ รัชทายาทของศากยวงศ์เป็นศาสดา" ซึ่งอุปติสสะจึงถามต่อไปว่า " ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอความรู้ธรรมจากท่าน ธรรมใดที่ศาสดาท่านแสดงแล้วทำให้ท่านดูบริสุทธิ์ผุดผ่องนัก" ..... ท่านอัสสชิตอบแด่อุปติสสะปริพาชกว่า" ดูกรสหาย เราเพิ่มได้รับอุปสมบทมา ธรรมของพระศาสดาเรายังเข้าใจไม่มากนัก เราไม่สามารถแสดงธรรมนั้นแกท่านได้โดยนัยพิสดาร แต่ยินดีจะแสดงเพียงถ้อยกระทงความ"
ท่านอัสสชิได้แสดงธรรมแก่อุปติสสะปริพาชกพอเป็นใจความว่า " ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้ ".... อุปติสสะพิจรณาโดยสติปัญญาของตนก็แลเห็นทางแห่งธรรม ว่า ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุให้พิจรณาเหตุก่อน พระศาสดาทรงสั่งสอนให้ระงับเหตุแห่งธรรมอันเป้นเรื่องก่อให้เกิดทุกข์ จึงพิจรณาเห้นว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา .... อุปติสสะกำหนดได้แม่ยำแล้วจึงไต่ถามถึงที่ประทับของสิทธัตถะพุทธะ โดยหมายจะเดินทางไปเฝ้าแต่ต้องกลับอาศรมเพื่อแจ้งความข้อนี้แก่ โกลิตะปริพาชกก่อน
ฝ่ายโกลิตะปริพาชกซึ่งอยู่ที่อาศรมเห็นสหายเดินมาแต่ไกล ให้รู้สึกแปลกตาด้วยอากัปกริยาวันนี้ของอุปติสสะนั้นดูสงบเสงี่ยมมากกว่าเคยเป็น ดวงหน้ายิ้มแย้มบริสุทธิ์สะอาด มีความสุข...... จึงได้ไต่ถาม อุปติสสะจึงบอกแก่สหายว่าได้พบธรรมที่พอใจแล้ว และได้เล่าเรื่องธรรมที่ท่านอัสสชิแสดงและเรื่องศาสดาสิทธัตถะพุทธะตามที่ได้รับฟังมา โกสิตะรับฟังด้วยความรู้สึกปิติแบบที่มิเคยมีมาก่อน จึงได้ชวนสหายออกเดินทางไปเฝ้าศากยบุตรพระองค์นั้น....
อุปติสสะได้แจ้งกับสหายว่าต้องจัดการธุระในอาศรมก่อนเนื่องจากเป็นผู้ดูแลปริพาชกอีก250คน รวมถึงต้องแจ้าแก่ท่านอาจารย์สญชัยผู้เคยสั่งสอนให้แสวงธรรมมาตั้งแต่ต้น.... สองสหายจึงเข้าไปในอาศรมเรียกประชุมปริพาชกทั้ง250คน ซึ่งปริพาชกได้เห็นตรงกันว่าชีวิตพวกเขาได้รับความคุ้มครองจากสองสหายใช่ว่าโดยตรงจากท่านสญชัยก็หาไม่ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่และการปฏิบัติธรรม ซึ่งพร้อมจะติดตามท่านทั้งสองไปเฝ้าศาสดาผู้นั้นด้วย..... จากนั้นสองสหายจึงพากันไปพบท่านสญชัย แม้จะเอาใจดีเข้าปลอบโยนสองสหาย ว่าขออย่าด่วนจากไป อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้ .... สองสหายและปริพาชกอีก250คนจึงได้ออกเดินทางไปยังที่ประทับของสิทธัตถพุทธะนับแต่กาลนั้น
สมัยนั้นสิทธัตถะพุทธะเสด็จมาประทับยังป่าไผ่พร้อมด้วยสาวกสงฆ์จำนวนหนึ่งเพื่อรอเวลาเสด็จเข้าพบพระเจ้าพิมพิสาร ...... ขณะที่ประทับอยู่ทอดพระเนตรเห็นสองสหายพร้อมปริพาชกทั้ง250คนเดินมาแต่ไกล ทรงทราบโดยพระญาน จึงมีดำรัสว่า กุลบุตร2คนเดินทางเข้ามาใหม่จะเป็นผู้บรรลุธรรมวิเศษและควรแก่การเป็นสาวกคู่พระทัย จะหาสาวกอื่นผู้มีปัญญาสามารถยิ่งด้วยสองสหายนั้นไม่มี ..... อุปติสสะและโกลิตะพร้อมด้วยปริพาชกลูกศิษย์อีก250คนเข้าเฝ้าสิทธัตถะถวายตัวเป็นสาวกประกาศคุณของพระองค์ พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป้นสรณะแห่งชีวิต สิทธัตถจึงรับสองสหายพร้อมปริพาชกทั้งหลายเข้าเป้นภิกษุในพุทธศาสนา อุปติสสะได้นามตามโวหารศาสนาว่า สารีบุตร ส่วนโกลิตะได้นามว่าโมคคัลลานะ ด้วยประการฉะนี้
ทักทาย
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ ก็เป็นผู้หญิงธรรมด๊าธรรมดาคนนึง อาจดูเหมือนเป็นสาวมั่นที่ลุ๊คดู เปรี้ยวไปบ้างเล็กน้อย ..... ส่วนใหญ่วันๆ ก็ทำงาน หาเงิน (แล้วก็อยากรวย) ว่างๆก็ใช้เงิน หาเงิน วนเวียนอยู่กับเงิน อยู่กับงาน อยู่กับครอบครัว ชีวิตหมดไปอย่างงี้แหละค่ะทุกๆวัน ..... แล้วมาวันนึงก็ให้รู้สึก เหนื่อยกับชีวิต บางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะทำไมคนนั้นต้องทำกับเราอย่าง นี้ คนนี้ต้องทำกับเราอย่างนั้นด้วย รึทำไมน๊าถึงซวยอย่างนี้ และอื่นๆอีกมากมาย .....คราวนี้ก็มาลองคิดดู คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ แต่คงเป็นโชคดีที่ตัวเองเป็นคนชอบอ่าน วันนึงก็เลยลองหยิบหนังสือแนว ธรรมะขึ้นมาอ่าน(กะอ่านเล่นๆ)... แล้วก็เริ่มเห็นจริงในบางเรื่อง ....แล้วก็เริ่มเอามาปรับใช้ในชีวิตจริง ..... สุดท้ายศรัทธาก็เกิดและชีวิตก็มีความสุขขึ้นตามลำดับ ......... แม่หมอคิดว่า คนเราเลือกที่จะมีความสุขได้นะคะ อยู่ที่เราจะเลือกรึเปล่า และกฎแห่งกรรมก็มีจริงค่ะอาจช้าไปบ้าง เร็วไปบ้าง แต่มีจริงแน่นอนค่ะ ..... ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปรัชญา เป็นศาสนาที่เน้นแนวคิด.... บางครั้งเราอาจคิดว่าห่างไกลกับชีวิตประจำ วันของเรา หรือ บางคนอาจคิดว่าวัยยังไม่ถึงยังไม่แก่ซะหน่อย ....แต่ไม่ลองไม่รู้ค่ะ แม่หมอเลยอยากชวนเพื่อนๆให้มาเริ่มศึกษาธรรมะไปพร้อมๆกับแม่หมอ เราจะเดินไปด้วยกันสู่เส้นทางสายธรรมเพื่อความสุขที่เราเลือกจะมีค่ะ
แม่หมอขอแนะนำตัวเองก่
วันอาทิตย์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น